ประวัติความเป็นมา E-Government
การก้าวไปสู่ e-government
จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน
และการให้บริการของภาครัฐเพื่อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น กว่าเดิม
จะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆทั่ว โลกต่างก็ให้ความสำคัญกับการก้าวไปสู่การเป็นe-government
และมีการประกาศนโยบายในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร ประกาศว่าภายในปี ค.ศ. 2005 ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเข้าจากที่บ้าน
หรือจุดให้บริการในชุมชน ก็ตาม
รวมทั้งการบริการของภาครัฐทุกอย่างจะทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในขณะที่สิงค์โปร์เองก็ประกาศว่าภายในปี
ค.ศ. 2001 counter services ของรัฐ 100% จะเป็นการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์
ออสเตรเลียระบุว่ารัฐจะให้บริการที่เหมาะสมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
อันหมายถึงผ่านทางอินเทอร์เน็ตภายในปี ค.ศ. 2001
ส่วนแคนาดามีเป้าหมายว่าบริการของรัฐทุกอย่างจะเป็นแบบ online ภายในปี ค.ศ.2004
โดยมีบริการหลักบางอย่างสามารถให้บริการได้ก่อนในปี ค.ศ. 2000 สำหรับเนเธอร์แลนด์มีเป้าหมายว่า 20%ของบริการของรัฐสามารถให้
online ได้ในปี ค.ศ. 2002
สหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเองก็กำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะให้บริการต่างๆ
และบริการด้านข้อมูลของภาครัฐผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ภายในปี ค.ศ. 2003 แต่ประเทศซึ่งอาจเป็นแชมป์ e-government เร็วที่สุด
เนื่องจากกำหนดไว้ว่าในช่วงสิ้นปี ค.ศ. 2000
นี้ประชาชนจะสามารถเข้าถึงบริการและเอกสารของรัฐได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ
ประเทศฝรั่งเศส
สำหรับประเทศไทย
ในเรื่องการบริหารและการบริการของรัฐแก่ประชาชน มีการกล่าวถึง
ตั้งแต่ในกฎหมายสูงสุดของประเทศ คือ รัฐธรรมนูญฯ ในมาตรา 78 หรือแผนสภาพัฒน์ฯ ฉบับที่ 8 ที่กล่าวถึงการนำไอทีมาใช้เพื่อเชื่อมโยง
ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับภาคเอกชน เพื่อการบริหารและการบริการที่มีประสิทธิภาพนอกจากนี้
ในแผนไอทีแห่งชาติเองก็ระบุว่าหน่วยงานของรัฐต้องลงทุนให้พร้อมด้วยไอที
และบุคลากรที่มีศักยภาพในการใช้ไอที
ในแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐก็ได้กำหนดกิจกรรมหนึ่งที่ทุกส่วนราชการต้องดำเนินการไว้ในแผนหลักเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนบทบาท
ภารกิจและวิธีการบริหารของภาครัฐว่า
การพัฒนาให้มีระบบสารสนเทศของหน่วยงานกลางในภาครัฐ
ตลอดจนนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เหมาะสมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภาครัฐและการให้บริการแก่ประชาชน
จะเห็นว่าในระดับนโยบายนั้นมีการให้ความสำคัญในเรื่องนี้ มาโดยตลอด
ความหมาย E-Government
รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
หรือที่เรียกว่า E-Government คือ
วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ โดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่าย
สื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภาครัฐ ปรับปรุงการบริการแก่ประชาชน
การบริการด้านข้อมูลและสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ประชาชนมีความใกล้ชิดกับภาครัฐมากขึ้น
สื่ออิเล็กทรอนิกส์จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเข้าถึงบริการของรัฐ
ประการสำคัญจะต้องมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและเต็มใจจากทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคธุรกิจและประชาชน
E-Commerce คือบริการทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบ
B2C และ B2B เป็นหลัก E-Government
จะเป็นแบบ G2G G2B และ G2C ระบบต้องมีความมั่นคงปลอดภัยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ
ประชาชนอุ่นใจในการรับบริการและชำระเงินค่าบริการ
ธุรกิจก็สามารถดำเนินการค้าขายกับหน่วยงานของรัฐด้วยความราบรื่น
อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญในการให้บริการตามแนวทางรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
หลักของ E-Government
G2G : ภาครัฐสู่ภาครัฐด้วยกัน(Government
to Government)
G2C : ภาครัฐสู่ประชาชน(Government
to Citizen)
G2B : ภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ
(Government to Business)
G2E : ภาครัฐสู่ภาคข้าราชการและพนักงานของรัฐ(Government
to Employee)
1. รัฐ กับ ประชาชน (G2C)เป็นการให้บริการของรัฐสู่ประชาชนโดยตรง
โดยที่บริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดำเนินธุรกรรมโดยผ่านเครือข่ายสารสนเทศของรัฐ
เช่น การชำระภาษี การจดทะเบียน การจ่ายค่าปรับ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนประชาชนกับผู้ลงคะแนนเสียงและการค้นหาข้อมูลของรัฐที่ดำเนินการให้บริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์
เป็นต้น โดยที่การดำเนินการต่าง ๆ นั้นจะต้องเป็นการทำงานแบบ Online และ Real Time มีการรับรองและการโต้ตอบที่มีปฏิสัมพันธ์
2. รัฐ กับ เอกชน (G2B)เป็นการให้บริการภาคธุรกิจเอกชน โดยที่รัฐจะอำนวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกันโดยความเร็วสูง
มีประสิทธิภาพ และมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เช่น
การจดทะเบียนทางการค้า การลงทุน และการส่งเสริมการลงทุน
การจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ การส่งออกและนำเข้า การชำระภาษี
และการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
3.
รัฐ กับ รัฐ (G2G)ป็นรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหน่วยราชการ
ที่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยกระดาษและลายเซ็นในระบบเดิมในระบบราชการเดิม
จะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศ และ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดำเนินการ
(Economy of Speed) ลดระยะเวลาในการส่งเอกสารและข้อมูลระหว่างกัน
นอกจากนั้นยังเป็นการบูรณาการการให้บริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐโดยการใช้การเชื่อมต่อโครงข่ายสารสนเทศเพื่อเอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกัน (Collaboration) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน (Government
Data Exchange) ทั้งนี้รวมไปถึงการเชื่อมโยงกับ รัฐบาลของต่างชาติ
และองค์กรปกครองท้องถิ่นอีกด้วย ระบบงานต่าง ๆ ที่ใช้ในเรื่องนี้ ได้แก่ ระบบงาน Back
Office ต่าง ๆ ได้แก่ ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
ระบบบัญชีและการเงินระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี
จะต้องมีกระบวนการในการลดแรงต่อต้านของบุคลากรที่คุ้นเคยกับการทำงานในระบบเดิม
4. รัฐ กับ ข้าราชการและพนักงานของรัฐ (G2E)
เป็นการให้บริการที่จำเป็นของพนักงานของรัฐ(Employee) กับ รัฐบาลโดยที่จะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิต
เช่น ระบบสวัสดิการ ระบบที่ปรึกษาทางกฎหมายและข้อบังคับในการปฏิบัติราชการระบบการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ
เป็นต้น
การนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนา e-Government ในระดับหนึ่ง
โดยที่หน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ มีการสร้างเว็บไซต์ ในระดับกรม และ กระทรวงครบถ้วน
โดยการตรวจสอบและประเมินผลเบื้องต้นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพบว่า
เว็บไซต์ส่วนใหญ่ของทางราชการมีข้อมูลให้บริการต่อประชาชน มีความสวยงาม
แต่ยังขาดการดูแลรักษาให้เป็นปัจจุบัน มีจำนวนที่มีปฏิสัมพันธ์กับประชาชน
โดยการใช้ระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และมีเว็บบอร์ด แต่ไม่มากนักที่มีการตอบปัญหา
และข้อสงสัยของประชาชนอย่างรวดเร็ว
เว็บไซต์ของส่วนราชการสองถึงสามหน่วย
ที่ให้บริการระดับ 3 คือ
มีการทำธุรกิจที่เคยต้องเดินทางไปทำที่หน่วยราชการมาบรรจุลงในบริการผ่านเว็บไซต์
ได้แก่ ระบบ e- Revenue เพื่อชำระภาษีประเภทต่าง ๆ
ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร และเว็บไซต์ Khonthai.com ของกรมการปกครอง เพื่อให้บริการด้านงานทะเบียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
เปลี่ยนชื่อสกุล จดทะเบียนสมรส เป็นต้น นอกจากนั้น
ระบบทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง ยังได้ต่อเชื่อมกับหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ 53 หน่วยงานในการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลทะเบียนกลางร่วมกัน เช่น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานพยาบาลในโครงการ 30
บาทรักษาทุกโรค ทบวงมหาวิทยาลัย กรมบังคับคดี และกรมการกำลังสำรองทหารบก
กระทรวงกลาโหม เป็นต้น
ข้อดี E-Government
-
สร้างโอกาสให้ประชาชนได้เลือกใช้บริการที่หลากหลายผ่านอินเทอร์เน็ต
-
ประชาชนได้รับบริการจากรัฐที่ดีขึ้น แม่นยำขึ้น สะดวกขึ้น เสียเวลากับรัฐน้อยลง
เพราะมีช่องทางบริการใหม่ๆ
-
เกิดขึ้นในศูนย์บริการทางโทรศัพท์ (Call Center) , บริการทางเว็บไซต์, การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ (WAP)
เป็นต้น
- รัฐให้ข้อมูลกับประชาชนได้มากขึ้น
-
ลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและบริการของรัฐ
-
ลดความยุ่งยากของกฎเกณฑ์ เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน
- หากมีการนำระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ประชาชนจะได้รับความสะดวก
รวดเร็วในการติดต่อกับภาครัฐมากขึ้น โดยสามารถขอรับบริการได้ตลอดทุกวัน 24 ชั่วโมง
ข้อเสีย E-Government
ข้อเสียหลักที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์คือการขาดของความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงประชาชนเพื่ออินเทอร์เน็ตความน่าเชื่อถือของข้อมูลบนเว็บและวาระซ่อนเร้นของกลุ่มรัฐบาลที่อาจมีผลต่อและมีอคติความคิดเห็นของประชาชน
มีการพิจารณาจำนวนมากและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการและการออกแบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์รวมไปถึง
disintermedeation
ของรัฐบาลและประชาชนผลกระทบต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองช่องโหว่ในการโจมตีไซเบอร์และระเบิดที่สถานะเดิมในพื้นที่เหล่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น